วันดำรงราชานุภาพ ตรงกับวันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี เพื่อรำลึกถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ บุคคลไทยพระองค์แรกที่ยูเนสโกยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก ในฐานะพระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย
คนไทยหลายคนรู้จักพระนามของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ แต่อาจยังไม่ทราบว่าพระองค์มีคุณูปการต่อประเทศไทยมากมายเพียงใด กระทั่งได้รับการยกย่องจาก องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก เมื่อปี พ.ศ. 2505 ซึ่งนับเป็นบุคคลไทยพระองค์แรก และทรงได้รับการถวายพระนามเป็น พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย โดยกำหนดให้วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี เป็น วันดำรงราชานุภาพ”
ทรงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกเป็นพระองค์แรก อีกทั้งทรงริเริ่มก่อตั้งกระทรวงมหาดไทยและดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเป็นพระองค์แรก และทรงดำรงตำแหน่งเป็นเวลานานถึง 23 ปี
โดยพระกรณียกิจสำคัญคือการปฏิรูปการปกครอง ซึ่งในสมัยนั้นประเทศไทยยังปกครองแบบมีหัวเมืองประเทศราช ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมองเห็นจุดอ่อนว่าอาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียเอกราชได้อย่างง่ายดาย จึงมอบนโยบายให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ รับมาปฏิบัติ โดยแก้ลักษณะการปกครองแบบประเทศราช มาเป็นพระราชอาณาจักรของประเทศไทยรวมกัน กระทั่งทรงริเริ่มการปกครองในแบบมณฑลเทศาภิบาลปกครองท้องที่ คือ ยกเลิกหัวเมืองประเทศราชทั้งหมด มาจัดตั้งหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ เมือง และมณฑล เพื่อให้เกิดเอกภาพในการบริหารประเทศ ได้ทรงริเริ่มจัดตั้ง การสุขาภิบาลหัวเมือง โดยเริ่มที่ตำบลท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร เป็นแห่งแรก และนับเป็นการปูพื้นฐานการปกครองส่วนท้องถิ่น
นอกจากนี้ยังทรงก่อตั้งโรงเรียนข้าราชการฝ่ายปกครองของมณฑลเทศาภิบาล เพื่อผลิตบุคลากรในการปกครอง ซึ่งโรงเรียนแห่งนี้ต่อมาได้พัฒนาเป็นโรงเรียนมหาดเล็ก โรงเรียนข้าราชการพลเรือน และเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นอกจากพระกรณียกิจด้านการปฏิรูปการปกครองในประเทศแล้ว ยังทรงเป็นที่ปรึกษาสำคัญของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการทำให้ประเทศรอดพ้นจากการเป็นประเทศราชของต่างชาติในยุคแห่งการล่าอาณานิคม พระองค์ทรงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างมาก ถึงขนาดตรัสชมว่า ทรงเป็นเสมือน เพชรประดับพระมหาพิชัยมงกุฎ
ระหว่างที่ทรงดำรงตำแหน่งนายกบัณฑิตยสภา ทรงอนุรักษ์และชำระหนังสือสำคัญทางประวัติศาสตร์ไว้เป็นจำนวนมากเพื่อให้มีความถูกต้องสมบูรณ์ยิ่งขึ้น รวมทั้งทรงอุทิศเวลานิพนธ์หนังสือที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ไว้มากกว่า 650 เรื่อง ได้แก่ ประวัติบุคคลสำคัญมากที่สุดถึง 180 เรื่อง รองลงมา ได้แก่ การศึกษา ขนบธรรมเนียมประเพณี 146 เรื่อง ศิลปะวรรณคดี 111 เรื่อง ประวัติศาสตร์โบราณคดี 103 เรื่อง ภูมิศาสตร์การท่องเที่ยว 74 เรื่อง นอกจากนี้ยังมีกวีนิพนธ์ วรรณคดีอีกจำนวนหนึ่ง อันเป็นมรดกทางปัญญาของชาวโลกมาจนกระทั่งทุกวันนี้
ด้วยพระปรีชาสามารถดังที่ได้กล่าวมาล้วนเป็นที่ประจักษ์ในในพระอัจฉริยภาพ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยาดำรงราชานุภาพ จึงเป็นบุคคลไทยพระองค์แรกที่ได้รับการยกย่องจากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลกเมื่อปี พ.ศ. 2505 และทรงได้รับการถวายพระนามว่า พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย ภายหลังกระทรวงมหาดไทยได้จัดสร้างพระราชานุสาวรีย์ ในลักษณะประทับนั่งบริเวณด้านหน้าศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย ถนนอัษฎางค์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ
ข่าว ณ. วันที่ 1 ธ.ค. 2563 เวลา 09.52 น. โดย คุณ บุญเลิศ ปั้นโท
ผู้เข้าชม 701 ท่าน |